5 หลักการอันทรงพลังที่จะทำให้ลูกของคุณเป็นเด็กที่ชอบความท้าทาย และมีความสุขในการทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ
“Having a “fixed mindset” as the name implies, increases the limitations you have in your life.”
“การมีกรอบความคิดแบบตายตัว(fixed mindset) คือการเพิ่มข้อจำกัดของทุกอย่างในชีวิตของลูกคุณ”
แต่โชคดีที่สมองของเรามีความยืดหยุ่น(Neuroplasticity) ทำให้เมื่อเราฝึกฝน ไม่ว่าจะเป็นทางกายภาพ หรือความคิด จิตใจ และอารมณ์ ก็ย่อมส่งผลต่อการเชื่อมโยงของเซลล์สมอง(Synapse) ให้มีเพิ่มขึ้น เมื่อการเชื่อมโยงเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้เราสามารถที่จะคิด ในรูปแบบนั้นได้ง่ายมากยิ่งขึ้น จนถึงขั้นอัตโนมัติ(Autopilot)
เช่นเดียวกันกับการพัฒนาปรับเปลี่ยนจากการมี fixed mindset ให้กลายเป็น growth mindset ได้นั่นเอง
คลิกเพื่อชม Video Clip ความยืดหยุ่นของสมอง(Neuroplasticity) กับ Growth Mindset
5 หลักการอันทรงพลังในการสร้าง Growht Mindset
1. Be better not be best หลีกเลี่ยงการพูดกับลูกเราว่า “เก่งแค่ไหน” แต่ให้พูดกับเค้าว่า “พยายามแค่ไหน” “พัฒนาขึ้นแค่ไหน” นี้คือหัวใจของการพัฒนา Growth mindset การตอกย้ำถึง ความพยายาม แทนที่ ความสำเร็จ และ ให้ค่ากับการทีดีขึ้น มากกว่า การที่ต้องดีที่สุด เป็นสิ่งต้องทำ และต้องทำอย่างต่อเนื่อง จนสมองที่เกี่ยวกับความคิดใต้สำนึกของเค้า มีการเชื่อมโยงเซลล์สมองเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นวงจรของความคิดอัตโนมัติทุกครั้งเมื่อเค้านึกถึงผลลัพธ์ของการกระทำของเค้า
2. เปลี่ยนวิธีมอง “ความผิดพลาด(Mistake)” ว่าไม่ใช่ “ความล้มเหลว(Failure)” ทุกครั้งที่มีความผิดพลาด สมองแบบ Fixed mindset จะร้องโวยวาย และมองเป็นความล้มเหลวในทันที เนื่องจากสมองแบบนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์เป็นหลัก และใช้สมองส่วน Limbic ในการทำงาน ดังนั้นเมื่อเกิดความผิดพลาด ให้เรารีบแย่งชิงการทำงานจากสมองส่วน Limbic กลับมาที่สมองส่วนหน้า(Frontal lobe) ที่เป็นสมองส่วนตรรกะ และเหตุผล ด้วยคำถามกระตุกการทำงานของสมองส่วนหน้าว่า “TWO”
T = Trivial เรื่องที่พลาดมันเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือไม่ ถ้าใช่ ก็อย่าไปเสียใจ หรือซ้ำเติมตัวเอง
W = Weakness แต่ถ้าเรื่องที่พลาด เป็นเรื่องที่เราพลาดอย่างต่อเนื่อง เราก็ต้องรีบกระตุกความคิดว่า แล้วอะไรคือเหตุของความผิดพลาดซ้ำซากนั้น ให้รีบหาสาเหตุ เพื่อที่จะแก้ไข และพัฒนาให้ดีขึ้น
O = Opportunity โอกาส ถ้าเรื่องที่ผิดพลาด ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่ครั้งนี้ดีที่ไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรมากมาย ก็มองเป็นโอกาสที่ดีในการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก เพื่อไม่ให้สร้างความเสียหายที่มากขึ้นในอนาคต
เมื่อเรากระตุกความคิด และการทำงานของสมองส่วนหน้าบ่อยๆ สมองส่วนนี้จะทำงานได้เร็ว และง่ายยิ่งขึ้น ทำให้ลดการทำงานของสมองส่วนอารมณ์ ทำให้เราไม่ไปหมกหมุ่นอยู่กับคำว่า “สำเร็จ(Success)” หรือ “ล้มเหลว(Failure)”
3. สงสัย และท้าทาย(Curious and Challenge) ฝึกสร้างความสงสัย ใฝ่รู้ และท้าทายที่จะมองในเรื่องราวเดิมๆ ที่คนอื่นดูแล้วว่าเป็นเรื่องธรรมดา ให้ออกมาเป็นแง่มุมใหม่ๆ เช่น จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคนเราเดินด้วยหัวเป็นเรื่องปกติ เพราะหัวใจของ Growth mindset อันหนึ่งก็คือ การกล้าที่จะคิดแตกต่างไปจากความเชื่อเดิมๆของคนส่วนใหญ่ เราไม่จำเป็นต้องไปทำตามสิ่งที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ และเชื่อ(Conformity)
4. GTH(Grit Tenacity and Humbleness) เป็นสามสิ่งที่ต้องมาพร้อมกัน ในสภาพแวดล้อมของคนส่วนใหญ่ที่เป็น Fixed mindset การที่เด็กจะเดินก้าวผ่านความคิด ความเชื่อแบบเดิมๆ ออกไปได้ตลอดรอดฝั่ง เค้าต้องเรียนรู้ถึงความมุมานะ(Grit) ความดื้อรั้น(Tenacity) และ ความถ่อมตน(Humbleness) และต้องผสมผสาน 3 สิ่งนี้เข้าด้วยกันในปริมาณ และจังหวะที่เหมาะสม
การมุมานะ ทำในสิ่งที่อยากทำ อยากลอง และไตร่ตรองดีแล้วว่าท้าทาย ต้องอาศัยใจที่มุ่งมั่น ฝ่าฟัน และในหลายครั้งต้องดื้อรั้นที่จะทำแม้จะมีแรงเสียดทานอย่างมหาศาล แต่ก็ต้องเดินไปอย่างมีความอ่อนน้อมถ่อมตน เด็กถึงจะได้เรียนรู้ และสร้างร่องรอยการเชื่อมโยงในสมองที่มีคุณภาพให้เกิดขึ้นได้
5. Mindfulness คือการมีสติ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นพี่น้องกับ Mindset การที่เราจะสามารถสร้างกรอบความคิดแบบเติบโต ซึ่งต้องอาศัยระยะเวลา และการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องนั้น การมีสติ รู้เท่าทันความคิด และอารมณ์ของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว และต่อเนื่องจึงเป็นหัวใจสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยนั่นเอง
จะเห็นได้ว่า การเปลี่ยนจาก Fixed mindset เป็น Growth mindset นั้น แท้จริงก็อ้างอิงอยู่บนหลักการของวิทยาศาสตร์ทางสมอง และหลักปรัชญาของการดำรงชีวิตอย่างมีความสุข ทั้งหมดไม่ใช่สิ่งที่เลื่อนลอย หรือจับต้องไม่ได้ และเป็นหลักของ อกาลิโก เป็นจริงเสมอตั้งแต่ 2500 กว่าปีก่อน จนถึงยุคปัจจุบันที่เรามองเห็นการทำงานของสมองได้ด้วยการทำสแกนสมองกันแล้ว
ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับว่า เมื่อเราได้เรียนรู้(Educate) แล้ว จะมีกี่คนที่จะลงมือทำ(Activate) และอดทนทำอย่างต่อเนื่อง ผู้นั้นก็จะเป็นผู้ที่แตกต่าง และโดดเด่นจากคนทั่วๆไปในที่สุด