เคย
ไหมครับ ที่วางแผนไว้ล่วงหน้าอย่างดี ว่าจะต้องทำ ต้องซื้อ หรือต้องไม่ทำ ต้องไม่ซื้ออะไร แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถที่จะทำตามที่ตั้งใจ และวางแผนไว้ได้ จนเสียการงาน ความเชื่อมั่นจากเพื่อน ลูกน้อง ลูกค้า รวมไปถึงเสียเงินในกระเป๋าไปแบบที่ต้องมานั่งเคาะหัวตัวเองเมื่อเห็นรายการที่ต้องจ่ายบัตรเครดิตตอนสิ้นเดือน
ทำไมคนเรา ถึงมีความรู้ แต่เอาตัวไม่รอด!!!
แล้วเราจะยังต้องตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องที่ไม่ควรพลาดอีกหรือไม่
เพียงแค่เราได้รู้ในเรืองต่อไปนี้ มั่นใจได้ว่า “สติ และสตางค์จะเพิ่มขึ้น”
นั่นก็คือเรื่องของ
“สมองส่วนสัญชาตญาณ(Instinct/Inner/Reptilian Brain) สมองส่วนอารมณ์(Emotional/Middle/Limbic Brain) ที่ชอบเข้ามาก้าวก่าย แย่งการทำงานของสมองส่วนหน้า(Outer/Logical/Frontal Brain) ที่มีหน้าที่ในการวางแผน ตัดสินใจบนพื้นฐานของเหตุ และผลอยู่ตลอดเวลานั่นเอง!!!
สมองแห่งพุทธะ(Enlighten Brain)
เมื่อกาลเวลาผ่านไป แม้ความต้องการพื้นฐาน และอารมณ์ยังคงอยู่กับเรา โดยฝังลึกอยู่ในสมองส่วนใน และกลาง
แต่สังคมของมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบที่ซับซ้อนเพิ่มขึ้น
ความต้องการ และอารมณ์ ก็ปรับตัวแฝงมาในรูปแบบที่ซับซ้อนเพิ่มขึ้นเช่นกัน
นักการตลาด นักการเมือง ผู้นำทางจิตอารมณ์ หลายคนทราบในเรื่องเหล่านี้ดี
เค้าก็นำความรู้เหล่านี้มาปรับใช้ในงานของเค้า
แต่มนุษย์เราก็ปรับตัวโดยการเพิ่มสมองใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่กี่ล้านปีมานี้เอง
สมองส่วนนี้มีวิวัฒนาการที่ซับซ้อนกว่าเดิมมาก
มีเส้นใยประสาทชนิดพิเศษที่ทำงานได้เร็วมากยิ่งขึ้น โดยการหุ้มไขมันไว้เป็นฉนวนไฟฟ้า เรียกว่า Myelin
มีการเชื่อมโยง และเปลี่ยนหน้าที่ของเซลล์สมองไปหลากหลายมากมาย
สมองด้านซ้าย ก็แยกทำงานในรูปแบบที่แตกต่างจากด้านขวา
สมองซีกซ้ายทำในด้านภาษาพูด เขียน การคำนวณ
สมองซีกขวาทำในด้านศิลปะ การรับรู้ทิศทางในแบบ 3 มิติ(มิติสัมพันธ์)
สมองใหม่ที่อยู่ด้านหน้าบริเวณหน้าผาก ที่เรียกว่า สมองส่วนหน้า(Frontal lobe) เป็นสมองที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ และหุ่นยนต์
สมองส่วนหน้า(Frontal lobe) มีหน้าที่เกี่ยวกับการตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูล เหตุ และผล การเชื่อมโยงข้อมูลในหลายๆด้านเข้ามาด้วยกัน แล้วคิด วิเคราะห์ ข้อดี ข้อเสียต่างๆ แล้วจึงวางแผน(Planning)
แต่ในข้อดี ก็มีข้อด้อย???
สมองส่วนหน้าที่ซับซ้อนนี้ กินกลูโคสเป็นอาหารอย่างมหาศาล
ใครจำตอนใกล้สอบ ที่ต้องนั่งอ่านหนังสือเป็นชั่วโมงๆ ได้ดีนะครับ
นั่งนิ่งๆ แต่หิวอย่างกับอะไรดี
นั่นก็เพราะ เจ้าสมองส่วนหน้ากำลังทำงานอย่างหนัก และต้องการพลังงานจากกลูโคสเป็นอย่างมาก
ดังนั้น มนุษย์เรามีแนวโน้มที่จะใช้สมองส่วนหน้านี้เท่าที่จำเป็นจริงๆ
ใช้ในงานที่ซับซ้อน ในรูปแบบที่สมองส่วนสัญชาตญาณ และสมองอารมณ์ไม่สามารถที่จะจัดการได้
แต่สมองของเรามีลักษณะเด่นอย่างหนึ่งก็คือ
“ยิ่งใช้มาก ยิ่งคล่อง ยิ่งใช้น้อย ยิ่งยาก”!!!
เมื่อรู้ไม่ทันสมอง ก็เสียรู้ให้สมอง(Zero-Sum Brain Game)
ในคนที่หนัก 70 กก หัวใจจะบีบเลือดออกไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายราว 5 ลิตรใน 1 นาที
เลือดจำนวนนี้ถูกส่งไปที่สมองถึง 15% ในขณะที่สมองนั้นมีน้ำหนักเพียง 1.5 กก!!!
เกิดอะไรขึ้นภายในสมอง???
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ใครดีใครได้(Zero-Sum brain game)
ซึ่งเกมนี้ มีผลต่อ สติ และสตางค์ของเจ้าของสมองนั้นอย่างเหลือเชื่อ
อย่างไรล่ะ???
เคยสังเกตไหมครับว่า ทำไมงานแสดงรถยนต์ ถึงต้องมีพริตตี้สาวสวย
ทำไมเซลล์ขายรถ ถึงมักเป็นหญิงสาวสวย
ทำไมโฆษณารถยนต์สปอร์ตหรู ถึงมักมีหญิงสาวอยู่ด้วยเสมอ
เพราะเค้ากำลังแหย่ และหลอกล่อสมองสัญชาตญาณ และอารมณ์ของผู้มุ่งหวังที่มักเป็นชายหนุ่มนั่นเอง
ก่อนเข้างาน คุณผู้ชายวางแผนเป็นอย่างดีแล้ว ว่า จะยังไม่ซื้อ ทนใช้รถของเดิมไปก่อน เอาเท่าที่จำเป็น ซ่อมได้ ก็ซ่อมไปก่อนละกัน การเงินยังไม่คล่องตัวดีนัก
แต่พอเข้าไปในงาน เจอพริตตี้สาวสวย
สมองชั้นใน คือ สัญชาตญาณ ก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาในทันที!!!
ภาพของสาวสวย คือ สิ่งกระตุ้นสมองสัญชาตญาณอย่างดีเยี่ยม
แต่ๆ แค่นั้นยังไม่พอ
พอเดินเข้าไปดูรถ เจอเซลล์สาวสวย กลิ่นน้ำหอมชนิดพิเศษ พูดจาด้วยน้ำเสียงที่หวาน
“พี่ค่ะ สนใจรุ่นไหนอยู่คะ”
สมองชั้นกลาง ส่วนอารมณ์ก็พุ่งพล่าน เดือดระอุ
แล้วจากตอนที่แล้ว
(ตอนที่ 2)ชนะใจคนง่ายๆ ด้วยเทคนิคเจาะลึกถึงสมองทั้ง 3 ส่วน…เพิ่มความสำเร็จด้วยผงชูรส
สมองชั้นกลาง เปรียบเสมือน Ampliflier หรือ เครื่องขยายสัญญาณจากสมองชั้นในที่เป็นสมองสัญชาตญาณให้ทำงานมากขึ้น หรือน้อยลงได้
สมองสัญชาตญาณ ตื่นขึ้นมา เพราะ ภาพพริตตี้สาวสวย แล้วมาถูกขยายสัญญาณด้วยเซลล์สาวสวย ที่หอมด้วยกลิ่นน้ำหอมอีก
ถ้าเราทำการสแกนสมองด้วยเครื่องสแกน fMRI ในขณะนี้จะพบว่า
เลือดที่ไปเลี้ยงสมองส่วนใหญ่ จะถูกผันไปเลี้ยงสมองชั้นใน และชั้นกลางเป็นหลัก เพราะสมองส่วนนี้กำลังทำงานเด่น
เลือดที่ไปเลี้ยงสมองส่วนหน้าก็จะลดลงอย่างชัดเจน
เมื่อเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหน้าลดลง สมองส่วนนี้ที่ปกติก็ใช้พลังงานในการทำงานมากเป็นพิเศษอยู่แล้ว ก็ต้องลดการทำงานลงเป็นสัดส่วนกับปริมาณของเลือดที่มาเลี้ยงลดลงนั่นเอง
ทำให้ เหตุ และผลที่จะไม่ซื้อรถใหม่ในตอนนี้ หายไปพร้อมกับ พริตตี้ และเซลล์สาวสวยในที่สุด
นี่คือ “ใครดี ใครได้ Zero-Sum Brain Game นั่นเอง”
ไม่ต่างจากตอนที่เรากำลังโกรธจัด ให้คิดเลขง่ายๆ ก็ยังพลาด
เพราะสมองชั้นกลางส่วนอารมณ์ กำลังทำงานอย่างหนัก แย่งเลือดไปจากสมองชั้นนอกที่ทำหน้าที่ด้านการคำนวณ
สมองชั้นนอก ก็เลยต้องลดการทำงานลงตามปริมาณเลือดที่ลดลง ทำให้การคิดเลขง่ายๆ กลายเป็นเรื่องที่แสนยากเสียเหลือเกิน
มาออกกำลังกายสมองส่วนหน้ากันเถอะ(Neurobic Exercise)
เมื่อเราทราบเรื่องดังกล่าวข้างต้นแล้ว
รู้ หรือยังอะครับว่า ทำไม
“คนที่มีสติ ถึงชนะ และเป็นผู้นำในทุกวงการ”
นั่นก็เพราะ เค้าสามารถ นำความสามารถของสมองส่วนหน้ามาใช้ได้เต็มที่
แต่คนที่สมองชั้นนอกดี แต่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายสมองส่วนนี้
คนเหล่านี้ แม้ฉลาดมากเพียงใด แต่ก็จะเสียท่าให้กับสมองชั้นกลาง และชั้นใน เข้ามาแย่งเลือดไปอยู่เรื่อยๆ
แล้ว การออกกำลังกายสมองส่วนหน้า(Neurobic exercise) ทำได้อย่างไรล่ะ
-
กำปั้นทุบดิน “ใช้ให้มาก ใช้ให้บ่อย“… สมองส่วนไหน ยิ่งใช้มาก ก็จะมีการเชื่อมโยงกัน(Synapse) เพิ่มมากขึ้น เมื่อการเชื่อมโยงแข็งแรง การทำงานก็จะง่ายดายมากขึ้น ใช้พลังงานน้อยลง ทำงานได้บ่อยๆ โดยเปลืองแบตน้อยลงนั่นเอง
-
กระตุกสมองส่วนหน้าบ่อยๆ … ด้วยการตั้งคำถามที่กระตุกสมองส่วนหน้าง่ายๆ ว่า “ความเชื่อ ความรู้สึก หรือความจริง” คือ เวลาเราได้ยิน ได้อ่าน เรื่องราวใดๆ ที่แม้มันจะดูเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ก็หัดหยุดคิด อย่าเพิ่ง “รีบเชื่อ รีบเมนท์ รีบแชร์” อย่างที่เคยๆทำมาตลอด โดยเฉพาะในโลกยุคโซเชี่ยลมีเดียเฟื่องฟู ที่ทำได้ง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส อย่างเช่น เวลามีคนโพสต์ข่าวว่า “ลูกทรพี ฟาดแม่ด้วยค้อน แค่เพราะไม่ให้เงินเล่นเกมส์” โดยทั่วไป หลายคนจะ “รีบเชื่อ รีบเมนท์ และรีบแชร์” เพราะหัวข้อข่าวมันสะเทือนอารมณ์ และไปกระตุ้นสมองส่วนอารมณ์เป็นอย่างมาก ทำให้การทำงานของสมองส่วนหน้าลดลงอย่างที่เราเองก็ไม่ทันรู้ตัว แต่ถ้าเราฝึกสมองส่วนหน้าให้แข็งแรงอยู่ตลอด ด้วยคำถามกระตุกสมองส่วนหน้า(Frontal lobe Triggering Questions-FTQs) ว่า “เรื่องนี้เป็น ความเชื่อ ความรู้สึก หรือความจริง” แล้วเราก็จะค่อยๆกลับไปดูที่ที่มาของข่าว ว่า สื่อนี้มีจริงไหม ชื่อของที่มาสื่อดูแปลกๆ หรือไม่ ถ้าไม่ใช่ชื่อสื่อที่มีชื่อเสียง ก็อย่าเพิ่งรีบเชื่อ เพราะอาจเป็น Clickbait ก็ได้
-
สร้างสติให้แข็งแรง … ด้วยการเจริญสติ(Mindfulness meditation) การฝึกสติให้รู้ตัวตลอดเวลาว่า กำลังทำอะไรอยู่ กำลังเริ่มโกรธ กำลังมีความสุข การฝึกเช่นนี้มีหลักฐานจากการสแกนด้วยเครื่อง fMRI พบว่า “หลังจากเจริญสติ(Mindfulness meditation) ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ สมองส่วนอารมณ์กลัว โกรธ ที่มีชื่อว่า Amygdala มีขนาดที่เล็กลง ในขณะที่สมองส่วนหน้า(Frontal lobe) ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับสมาธิ การจรดจ่อ การวิเคราะห์เหตุ และผล การวางแผน ยับยั้งชั่งใจนั้น มีขนาดที่หนาขึ้น”
Dispositional Mindfulness Co-Varies with Smaller Amygdala and Caudate Volumes in Community Adults
สรุป
1. มนุษย์เราเกิดมาพร้อมสมอง 3 ส่วนที่คอยแย่งการทำงานกันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งส่งผลต่อบุคลิกภาพ และพฤติกรรมของเราในที่สุด
2. สมองชั้นในส่วนสัญชาตญาณ และสมองชั้นกลางส่วนอารมณ์ เป็นสมองที่ทำงานเร็ว ง่าย สุกเอาเผากิน ไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา
3. สมองชั้นนอกส่วนเหตุ และผล วิวัฒนาการมามากสุด ซับซ้อนสุด ใช้พลังงานในการทำงานสูงสุด จึงถูกนำมาใช้น้อยที่สุด แต่คนที่จะเป็นผู้นำ ชนะทั้งตนเอง และผู้อื่น ต้องฝึกสมองส่วนนี้ให้แข็งแรงอย่างสม่ำเสมอ จนสุดท้ายสามารถใช้สมองส่วนนี้ได้อย่างเป็นอัตโนมัติ(Autopilot state) และใช้พลังงานน้อยลงในที่สุด
4. การออกกำลังกายสมองส่วนหน้า(Neurobic excercise) อย่างสม่ำเสมอ มีผลยืนยันทางวิทยาศาสตร์ว่าเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเนื้อสมองได้อย่างชัดเจน จนส่งผลต่อความสามารถที่เพิ่มขึ้นของสมองส่วนหน้าในการคิด วิเคราะห์ แยกแยะ และควบคุมสมองส่วนที่ต่ำกว่า เช่น สมองส่วนอารมณ์ และสัญชาตญาณเป็นต้น
5. พฤติกรรมของมนุษย์ เริ่มต้นที่สมอง และจบลงที่สมอง ว่า “สมองส่วนไหนคือผู้ชนะ(Zero-Sum Brain Game)”
คิดปรับมุม BrainChef
DoctorT Neuro
ดอกเตอร์ทีนิวโร